อุปกรณ์ตั้งสาย (Tuner) มีให้เลือกหลายแบบ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักลักษณะสำคัญๆ ของ tuner เพื่อที่จะได้เลือกซื้อ เลือกใช้กันได้ตามความเหมาะสมค่ะ

Chromatic หรือ non-chromatic tuner ?

Tuner แบบ chromatic จะสามารถจับเสียงได้ทุกโน๊ต รวมไปถึงเสียง 1/2 โน๊ตที่เป็นชาร์ป (#) หรือแฟรต (b) ด้วย ดังนั้นเสียงทั้งหมดที่ chromatic tuner สามารถจับได้จะมีทั้งหมด 12 โน๊ตซึ่งคือ C  C#  D  D#  E  F  F#  G  G#  A  A#  B  ข้อดีของมันก็คือ เราสามารถใช้ในการตั้งสายแบบอื่นๆ นอกจาก standard tuning ได้ด้วย เช่น การตั้งสายแบบ Drop ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Drop D (DADGBE), Drop C (CGCFAD) หรือในเพลงหลายๆ เพลง จะให้ตั้งทุกสายลดลงครึ่งเสียง (Tune 1/2 step down to Eb) นั่นคือเราต้องตั้งสายให้เป็น D#G#C#F#A#D# ทั้งนี้ แบบ chromatic tuner สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้หมดค่ะ ในขณะที่หากเป็น non-chromatic จะไม่สามารถตั้งสายนอกเหนือไปจาก standard tuning ได้ และโดยทั่วไปจะแสดงบนหน้าจอเป็น ”ตัวเลข” แทนตัวโน๊ต เลข 1 คือก็เรากำลังตั้งสาย 1 เป็นต้น และแน่นอนว่าโน๊ตที่มันจับได้จะมีแค่ 6 โน๊ต (EADGBE) ของกีตาร์ หรือ แค่ 4 โน๊ต (GCEA) ของอูคูเลเล่

ใช้เสียง หรือ การสั่นสะเทือน เป็นตัววัด ?

หากเป็นพวก clip-on tuner จะใช้การสั่นสะเทือนเป็นตัวจับความเที่ยงตรงของสาย วิธีใช้ก็ง่ายมาก จริงๆ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว เราแค่เอาเจ้าตัว clip-on tuner นี้หนีบไว้บริเวณ Headstock ของกีตาร์ แล้วลองดีดไปทีละเส้น มันก็จะใช้ระดับความสั่นสะเทือนที่มันจับได้เป็นตัวบอกว่าสายกีตาร์ของเราตรงรึยัง ข้อดีของ tuner แบบนี้ก็คือ ถึงแม้เราอยู่ในห้องที่เสียงดังๆ เราก็ยังสามารถตั้งสายกีตาร์ของเราได้ค่ะ ซึ่งก็จะต่างกับ tuner ที่ใช้เสียงเป็นตัววัด หากเราอยู่ในที่ๆ เสียงดัง ไมค์ของ tuner ก็จะดึงเสียง noise รอบข้างที่เราไม่ต้องการเข้าไปด้วย ทำให้ตั้งสายลำบากนิดนึง ส่วนมาก Tuner application ที่ดาวโหลดได้จาก App Store หรือ Google Play จะเป็นแบบนี้ และแน่นอนข้อดีก็คือ มันฟรีค่ะ แล้วก็สะดวกด้วย หากวันไหนลืมเอาที่ตั้งสายออกไปข้างนอก ก็หยิบมือถือออกมาเป็น app แล้วก็ตั้งสายได้เลย 

ลองเลือกซื้อ เลือกหา tuner ที่เหมาะกับเพื่อนๆ ดูนะ ;)